Go to www.iclicknews.com
World-ASEAN News

บริการโอนสกุลเงินจ๊าดผ่าน K PLUS ทีทีบี - ธนชาตประกันภัย จัดแคมเปญ ประกันรถยนต์ประเภท 1
กรุงศรีจับมือ 4 ธุรกิจชั้นนำ เรวมพลังทดสอบการใช้งาน Retail CBDC AIA ชู “AIA Vitality Unit Linked” ประกันรูปแบบใหม่
เมืองไทยประกันชีวิต ชวน “บิวกิ้น-พีพี” ตัวแทนคนเจนใหม่ ปลุกกระแสคนรักสุขภาพ เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ยกระดับบริการคอนแทคเซ็นเตอร์
BKI กำไรพุ่ง 1,690 ล้าน 'เร่ง'ตั้งบริษัทโฮลดิ้งส์ ขยายธุรกิจ ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา
อพท. ร่วมโปรโมต “เกาะหมาก” เที่ยวตลอดปี

บริการโอนสกุลเงินจ๊าดผ่าน K PLUS
ดร.พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีชาวเมียนมาที่ทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศไทยประมาณ 2 ล้านราย โดยมีการโอนเงินกลับไปที่เมียนมาเฉลี่ยคนละ 100,000-200,000 จ๊าดต่อเดือน (เทียบเท่า 1,250-2,500 บาท) ธนาคารจึงได้ร่วมมือกับ KBZ Bank ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์เอกชนอันดับ 1 ในเมียนมา ด้วยจำนวนเครือข่ายสาขาและเครื่องเอทีเอ็มมากที่สุด เปิดให้บริการโอนเงินจ๊าดผ่าน K PLUS ไปยังบัญชี KBZPay Wallet ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอี-วอลเล็ต ที่เป็นนิยมของชาวเมียนมา มีผู้ใช้งานกว่า 10 ล้านราย “บริการโอนสกุลเงินจ๊าดผ่าน K PLUS ให้บริการเป็นภาษาเมียนมา ไม่ต้องใช้เอกสารประกอบ และมีจุดเด่นที่ช่วยแก้ปัญหาของผู้ที่ต้องการโอนเงินไปที่เมียนมา ได้แก่ 1. ค่าธรรมเนียมถูก โดยจะมีโปรโมชันพิเศษ ฟรีค่าธรรมเนียมทุกรายการตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2566 2. ลูกค้าสามารถโอนเงินได้ด้วยตนเองผ่าน K PLUS ไม่ต้องเสียเวลาติดต่อนายหน้าหรือเดินทางไปสาขาธนาคาร 3. ได้อัตราแลกเปลี่ยนเงินที่มีมาตรฐานชัดเจน 4. ตรวจสอบการทำรายการได้ ทั้งชื่อผู้รับและมีแจ้งเตือนเมื่อเงินเข้าบัญชีปลายทาง ไม่ต้องเสี่ยงเงินสูญหาย ในขณะที่ผู้รับเงินในเมียนมาสามารถเบิกเงินสดได้ง่ายๆ ที่ KBZ Bank ทุกสาขา ตู้เอทีเอ็ม และจุดบริการ KBZPay กว่า 40,000 จุดทั่วประเทศเมียนมา

Go To Lead


ทีทีบี - ธนชาตประกันภัย จัดแคมเปญ ประกันรถยนต์ประเภท 1
นายชวมนต์ วินิจตรงจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารผลิตภัณฑ์พันธมิตรทางธุรกิจกลุ่มลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ธนาคารเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าที่จะต่ออายุประกันภัยรถยนต์ และกำลังมองหาประกันภัยรถยนต์ที่มอบความคุ้มครองที่คุ้มค่า ได้มากขึ้นกว่าประกันเดิม ล่าสุด จัดแคมเปญและมอบโปรโมชันพิเศษ “ประกันรถยนต์ประเภท 1 จากธนชาตประกันภัย” สำหรับลูกค้าที่สนใจเปลี่ยนมาใช้ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ในปีต่ออายุ จะได้รับโปรโมชันพิเศษ ส่วนลดค่าเบี้ยฯ จากกรมธรรม์เดิมสูงสุดทันที 10% เมื่อนำกรมธรรม์ของบริษัทเดิมมาแสดงต่อพนักงาน หรือรับส่วนลดพิเศษเมื่อแสดงใบเตือนต่ออายุจากบริษัทประกันภัยอื่น (เงื่อนไขตามที่ธนาคารกำหนด) เพิ่มความอุ่นใจให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตได้ตามแผนที่ต้องการ เพื่อสร้างรากฐานชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ธนาคารมั่นใจว่า “ประกันรถยนต์ประเภท 1 จากธนชาตประกันภัย” จะมอบบริการที่คุ้มค่าให้กับลูกค้าในราคาที่โดนใจมากขึ้น และเชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยธนาคารมีเป้าหมายเป็นอันดับหนึ่ง ในตลาดประกันภัยรถยนต์ในช่องทางของธนาคาร โดยตั้งเป้าประกันภัยรถยนต์ ที่ 4 แสนคัน ในสิ้นปีนี้
นางวิชินี โอรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขาย บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนชาตประกันภัยเป็นผู้ให้บริการด้านประกันภัยที่แข็งแกร่ง เรามีความพร้อมดูแลลูกค้าประกันภัยรถยนต์ทุกประเภท สำหรับ “ประกันรถยนต์ประเภท 1 จากธนชาตประกันภัย” นับว่าเป็นประกันที่มอบความคุ้มครองที่ครอบคลุมและคุ้มค่า เพราะมี “พี่ชาตพร้อมช่วย” ให้ลูกค้าได้อุ่นใจในทุกสถานการณ์ ซึ่งจากการร่วมมือกับ ทีทีบี ออกแคมเปญพิเศษดังกล่าว ลูกค้าสามารถวางใจได้ว่าเมื่อมาเป็นลูกค้าธนชาตประกันภัยจะได้รับบริการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบริการแจ้งอุบัติเหตุผ่านช่องทาง Line Official Account “ธนชาตประกันภัย” ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพียงกดแจ้งเคลมและส่งพิกัดจุดเกิดอุบัติเหตุก็จะได้รับความสะดวก โดยมีเจ้าหน้าที่พร้อมช่วยเหลือและประสานกับศูนย์บริการรถยนต์ของลูกค้าในการนำรถเข้าซ่อม และหากจำเป็นต้องใช้รถยก รถสไลด์ เจ้าหน้าที่จะติดต่อประสานงานให้ทันที
นอกจากนี้ ยังมีบริการ “Meet and Care” ที่ดูแลงานซ่อมรถแทนลูกค้าในทุกขั้นตอน เพื่อช่วยลดปัญหาที่ลูกค้าต้องเผชิญจากการนำรถยนต์เข้าซ่อมที่อู่ซ่อมรถยนต์ ตั้งแต่หาอู่มาตรฐาน ประสานกับช่าง ติดตามและเช็กคุณภาพงานซ่อม ดูแลให้ตั้งแต่ต้นจนจบก่อนส่งมอบรถคืนให้กับลูกค้าด้วย ลูกค้าสามารถวางใจในคุณภาพงานซ่อมรถได้ ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2566 เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/motor-1-tni หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ทีทีบี ทุกสาขา โทร. ttb contact center 1428

Go To Lead


กรุงศรีจับมือ 4 ธุรกิจชั้นนำ
เรวมพลังทดสอบการใช้งาน Retail CBDC
นายสยาม ประสิทธิศิริกุล ประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่กรุงศรีได้พัฒนาโมบายแอป CBDC Krungsri เพื่อร่วมทดสอบการใช้งาน Retail CBDC สำหรับใช้จ่ายกับร้านค้ารายย่อยที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมทดสอบโครงการ เช่น ร้านค้าในพื้นที่ศูนย์อาหารและในตลาดครูหวี จึงต่อยอดขยายการทดสอบให้กว้างและครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยมองไปถึงการร่วมทดสอบกับร้านค้าที่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งมีรูปแบบระบบการบริหารจัดการเงิน การชำระเงิน และการบัญชี ที่มีความซับซ้อนมากกว่า เพื่อให้ได้เรียนรู้กรณีศึกษาที่หลากหลายและเป็นการร่วมพิสูจน์ว่า Retail CBDC มีศักยภาพรองรับการทำธุรกรรมได้ตั้งแต่ร้านค้ารายย่อยอย่าง Street Market ไปจนถึงร้านค้ารายใหญ่บนห้างสรรพสินค้า และครอบคลุมทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภค จึงได้เกิดความร่วมมือกับธุรกิจขนาดใหญ่ชั้นนำทั้งสี่ราย ซึ่งเปิดให้ร้านค้าในเครือเข้าร่วมทดสอบใช้งาน Retail CBDC ครั้งนี้ การทดสอบครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากร้านค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งรองรับไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ครอบคลุมประเภทธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจพลังงาน ได้แก่ Tops และ Eathai สาขาเซ็นทรัล เอ็มบาสซี โดย บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ร้านกาแฟดอยตุง สาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยา สำนักงานใหญ่ พระรามที่ 3 และอาคารกรุงศรี สำนักงานเพลินจิต โดย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ สถานีบริการน้ำมันบางจาก Self-Service สาขาพระราม 3 โดย บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร้านอินทนิล หน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา สำนักงานใหญ่ พระรามที่ 3 โดย บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
กรุงศรีได้พัฒนาฟีเจอร์ของระบบแอป CBDC Krungsri เพื่อให้สามารถตอบรับการใช้งานสำหรับร้านค้าธุรกิจรายใหญ่ได้โดยเฉพาะ ดังนี CBDC Wallet Share ฟีเจอร์แยก wallet ออกเป็น Main Wallet และ Sub Wallet เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการการเงินของหน้าร้านสาขา กับ Controller สำนักงานใหญ่ การเพิ่มการรับเงิน CBDC เข้าในระบบ POS ณ จุดขายที่สาขา และเชื่อมโยงเข้าระบบบัญชี ERP ของสำนักงานใหญ่
Automatic Report ระบบจัดส่งรายงานยอดขายของสาขาในแต่ละวันให้กับ Controller ที่สำนักงานใหญ่
Auto Currency Conversion การโอนเงิน CBDC ไปเป็นเงินบาทแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ง่ายต่อการโอนสกุลเงินดิจิทัลจากสาขากลับไปให้สำนักงานใหญ่ในรูปแบบเงินบาท
ความร่วมมือในการทดสอบ Retail CBDC ครั้งนี้เป็นการทดสอบในระดับภายในประเทศที่ขยายวงกว้างออกสู่ธุรกิจร้านค้ารายใหญ่ชั้นนำของไทย ทั้งนี้ ภายหลังจากการทดสอบที่จะสิ้นสุดลงในไตรมาสที่สามปีนี้ ทางธปท. ยังไม่มีแผนที่จะออกใช้งาน Retail CBDC จริง โดยจะมีการประเมินผลในด้านต่าง ๆ ก่อน ซึ่งเชื่อว่าผลการทดสอบการใช้งานในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกองค์กรที่ได้ร่วมเรียนรู้และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเงินบาทดิจิทัลของประเทศไทยไปด้วยกัน ซึ่งกรุงศรีพร้อมพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมในทุกด้านอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุน ธปท. ในการส่งมอบโซลูชันการเงินที่สอดรับกับความต้องการและการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านการใช้ชีวิตและธุรกิจการค้าของประเทศ

Go To Lead


AIA ชู “AIA Vitality Unit Linked” ประกันรูปแบบใหม่
นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย เปิดเผยว่า “เอไอเอ เป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพมาอย่างยาวนาน ซึ่งการที่เราสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำได้นั้น มาจากการที่เอไอเอไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มอบความคุ้มครองทั้งชีวิต สุขภาพ และการเงิน ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรามุ่งมั่นมอบการดูแลด้านสุขภาพผ่านโครงการดูแลสุขภาพชั้นนำ อย่าง ‘AIA Vitality’ ซึ่งปัจจุบันนับเป็นโครงการดูแลสุขภาพที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย[1] ตลอดจนในด้านการเงิน เราตั้งใจมอบการดูแลสุขภาพการเงินให้กับคนไทยพร้อมช่วยวางแผนทางการเงินเพื่อความมั่งคั่งและมั่นคงในระยะยาวผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน ‘AIA Unit Linked’ ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ เอไอเอ ถือเป็นเจ้าแรกและเป็นเจ้าตลาดทั้งในระดับประเทศ และระดับเอเชีย
“ล่าสุด เพื่อให้เอไอเอได้ดูแลคนไทยได้อย่างครบวงจร และตอบโจทย์ความต้องการได้ครอบคลุมทุกมิติ ตลอดทุกช่วงชีวิต เราจึงเปลี่ยนจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์มาสู่การส่งมอบ ‘โซลูชันส์ (Solutions)’ ที่ให้คนไทยได้มากกว่าแค่ความคุ้มครอง ผ่านการผนึก 2 ผลิตภัณฑ์เรือธง ‘AIA Vitality’ และ ‘AIA Unit Linked’ ออกมาเป็นโซลูชันส์ด้านการดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพการเงิน แบบครบวงจร กับ ‘AIA Vitality Unit Linked’ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของวงการประกันที่ลูกค้าไม่ต้องเลือกระหว่าง รับความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ และโรคร้ายแรง พร้อมยังได้รับโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุน จบในกรมธรรม์เดียว อีกทั้งได้รับเงินคืนจากการดูแลสุขภาพ[3] และยังได้รับสิทธิประโยชน์จากพาร์ทเนอร์ของเอไอเอ ไวทัลลิตี้[4] อีกมากมาย เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนได้สนุกกับการใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ”

Go To Lead


เมืองไทยประกันชีวิต ชวน “บิวกิ้น-พีพี”
ตัวแทนคนเจนใหม่ ปลุกกระแสคนรักสุขภาพ
นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพ เดินหน้าเปิดประสบการณ์แห่งความสุขและรอยยิ้ม เพื่อสร้างสังคมสุขภาพดีอย่างต่อเนื่องภายใต้คอนเซ็ปต์ ZYndromes (แซด วาย ซินโดรม) ล่าสุดชวน "บิวกิ้น" พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล และ "พีพี" กฤษฏ์ อำนวยเดชกร ตัวแทนคนเจนใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ ร่วมปลุกกระแสคนรักสุขภาพ จัดกิจกรรม “ZYndromes x MTL Station สเตชันสุขภาพคนเจนใหม่” เปิดเทรนด์ความคุ้มครองสุขภาพ ตอบโจทย์ทุกความกังวลของคนรุ่นใหม่ ในโมเม้นท์สุดฟิน พร้อมกระทบไหล่อย่างใกล้ชิด ณ ชั้น 1 โซน Eden ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดย “บิวกิ้น-พีพี” ถือเป็นตัวแทนของคนเจนใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน ซึ่งรวมไปถึงการเลือกความคุ้มครองสุขภาพที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตนเองได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังเป็นลูกค้าจริงที่ให้ความไว้วางใจเลือกความคุ้มครองสุขภาพจาก “เมืองไทยประกันชีวิต” ในการสร้างความอุ่นใจและปิดความเสี่ยงเรื่องสุขภาพ ทำให้สามารถบาลานซ์ทั้งการทำงานและสุขภาพไปพร้อมกันได้อย่างเต็มที่ เพราะโดดเด่นด้วยแบบประกันที่หลากหลายและเข้าใจทุกความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์
สำหรับความคุ้มครองสุขภาพมาแรงที่เหมาะสำหรับคนเจนใหม่ อาทิ ดี เฮลท์ พลัส (D Health Plus) คุ้มครองเหมาจ่ายค่ารักษาสูงสุดถึง 5 ล้านบาท* ครอบคลุมตั้งแต่โรคเล็กโรคแรง ๆ โรคทั่วไป อุบัติเหตุ เบี้ยไม่แพง แอดมิตก็เหมาจ่ายในวงเงินเดียว นอนห้องเดี่ยวมาตรฐานทุกโรงพยาบาลทั่วไทย ดูแลยาวถึงอายุ 99 ปี ปรับเปลี่ยนแผนได้ ถ้ามีสวัสดิการเลือกแผนมีความรับผิดส่วนแรก เบี้ยถูกลงอีก และเมื่อถึงวัยเกษียณ ยังเลือกปรับเปลี่ยนแผนได้ เพื่อให้ตรงความต้องการ และสอดรับกับสวัสดิการที่เปลี่ยนแปลงไป โดยให้สิทธิ์เลือกปรับลดความรับผิดส่วนแรก (Convertible Option) ตอนเกษียณ โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพใหม่ และหากกังวลกับค่ารักษากรณีเป็นโรคร้ายแรง ยังสามารถพลัสความคุ้มครอง แคร์ พลัส (Care Plus) หรือจะซื้อเพิ่มความคุ้มครองเสริมพิเศษ อาทิ ค่าตรวจสุขภาพ ทำฟัน และดูแลสายตา เป็นต้น การวางแผนการทำประกันสุขภาพสำหรับคนเจนใหม่ ถือว่าเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะเป็นการวางแผนทางการเงิน ในส่วนของการบริหารค่าใช้จ่ายของตัวเองและครอบครัวในกรณีเจ็บป่วย เพื่อไม่ให้กระทบกับเงินออม เพราะในปัจจุบันมีโรคภัยเกิดขึ้นซึ่งไม่ใช่แค่ในกลุ่มคนที่สูงอายุ แต่ในกลุ่มคนอายุน้อยก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน ไม่ว่าโรคเล็ก ๆ หรือโรคแรง ๆ อย่างโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง ดังนั้นเพื่อให้เราสามารถเต็มที่กับชีวิตการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน จึงควรจะต้องวางแผนรับมือเรื่องสุขภาพตั้งแต่วันนี้เพื่อรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
“การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำว่าเมืองไทยประกันชีวิตเราตระหนักถึงความสำคัญของการมีสุขภาพดี และเราพร้อมสนับสนุนให้คนเจนใหม่สามารถเข้าถึงความคุ้มครองสุขภาพได้อย่างทั่วถึง ผ่านกิจกรรมที่สร้างสรรค์ และความคุ้มครองสุขภาพ ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์คนเจนใหม่ รวมทั้งคนทุกเพศทุกวัย ทุกไลฟ์สไตล์ ทุกบทบาทของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ ได้อย่างเหมาะสมและเข้าถึงได้จริง” นายสาระ กล่าว

Go To Lead


เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์
ยกระดับบริการคอนแทคเซ็นเตอร์
นางสาวช่อฟ้า ยุกตะนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดและบริหารลูกค้า เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ เปิดเผยว่า การจัดแคมเปญ “Customer F.I.R.S.T.” ของเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ เพื่อยกระดับคุณภาพงานบริการ ด้วยการมอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้ลูกค้าคนสำคัญ ทั้งกิจกรรมความบันเทิง สุขภาพ ความงาม ท่องเที่ยว อาหาร และเวิร์คช้อปต่าง ๆ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าที่ร่วมกิจกรรม อีกทั้งแคมเปญดังกล่าวยังส่งผลให้คะแนนความพึงพอใจในการบอกต่อแบรนด์ (Relational Net Promoter Score- RNPS) พุ่งขึ้นเป็นอันดับ 1 ตลอดทั้ง 2 ไตรมาสติดต่อกัน ดังนั้น เพื่อเป็นการตอกย้ำการเป็นแบรนด์ประกันอันดับ 1 ที่นั่งอยู่ในใจลูกค้า และพร้อมส่งมอบประสบการณ์การให้บริการที่ดีที่สุด เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ จึงได้เตรียมแผนยกระดับงานบริการภายใต้แนวคิด Customer F.I.R.S.T. ด้วยแผนพัฒนาศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ หรือคอนแทคเซ็นเตอร์ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของงานบริการ โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่ออำนวยความสะดวกและให้ข้อมูลแก่ลูกค้าแบบ 360 องศา ด้วยการยกระดับคอนแทคเซ็นเตอร์เดิม สู่การเป็น “Customer F.I.R.S.T. Contact Center 1394”
โดยแนวทางการพัฒนา “Customer F.I.R.S.T. Contact Center 1394” จะมุ่งเน้นการให้ความสำคัญผ่านหัวใจหลักสำคัญ 2 ด้าน ได้แก่ ด้านเทคโนโลยี (Technology) และ จิตวิญญาณที่ใส่ใจในทุกบริการ (Human Touch) โดยมีแผนพัฒนาและส่งเสริมบุคลากร ให้มี Customer First Mindset ไปจนถึงการเสริมทักษะองค์ความรู้ให้แก่พนักงานในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างแท้จริง พร้อมทั้งสร้างโรดแมพพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มศักยภาพการส่งมอบประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดการคิวอัจฉริยะช่วยลดเวลารอสายของลูกค้า (Smart Queue Management System) ระบบตอบรับอัตโนมัติทางโทรศัพท์และแชทบอทช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมด้วยตัวเองได้อย่างปลอดภัย (Self-service IVR and Chatbot Solution) ระบบการโอนสายให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ตรงจุดตั้งแต่การโทรครั้งแรก ( Transfer Call for First Contact Resolution) รวมไปถึงระบบจำแนกการให้บริการลูกค้าเฉพาะบุคคลที่ช่วยวิเคราะห์และแนะนำรูปแบบการให้บริการได้อย่างเหมาะสมกับลูกค้าตามความต้องการ (Service Classification Assistance Solution)
“การพัฒนา Customer F.I.R.S.T. Contact Center 1394 ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการยกระดับงานด้านการให้บริการ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและสร้างความปลอดภัยในการใช้บริการให้แก่กลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี เพื่อเป้าหมายหลักของเราในการเป็น ‘Lifetime Partner 24’ หรือเพื่อนผู้เคียงข้างลูกค้าในทุกช่วงเวลาของชีวิต และการนั่งอยู่ในใจลูกค้าเป็นอันดับ 1 เพื่อส่งมอบประสบการณ์การให้บริการที่ดีที่สุด เพราะสำหรับเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์...ลูกค้าต้องมาก่อน” นางสาวช่อฟ้า กล่าว ลูกค้าเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ สามารถรับข้อมูลข่าวสารทางการตลาดและรับสิทธิประโยชน์ดีๆ ด้วยการเพิ่มเพื่อนทาง LINE official @GeneraliThailand คลิก https://lin.ee/KxNFsRw

Go To Lead


BKI กำไรพุ่ง 1,690 ล้าน
'เร่ง'ตั้งบริษัทโฮลดิ้งส์ ขยายธุรกิจ
ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 (เม.ย.-มิ.ย.) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 6,619.5 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 มีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 599.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 127.8 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิจากการรับประกันภัย 2,157.3 ล้านบาท เนื่องจากมีการจ่ายสินไหมทดแทนโควิด-19 ของปีก่อน บริษัทฯ มีกำไรจากการลงทุนสุทธิ 312.5 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 3,107.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 89.9 และมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 911.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.0 โดยเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 806.3 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 7.57 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 428.6 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 88.1
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนของปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย.) บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 13,868.6 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.3 มีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 1,064.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 114.6 มีกำไรจากการลงทุนสุทธิ 691.6 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 83.0 และมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 1,756.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 154.3 โดยเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,690.0 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 15.87 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขาดทุนสุทธิ 3,151.9 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 153.6 โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ซึ่งได้ประชุมเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ปี 2566 แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 3.75 บาท ในวันที่ 8 กันยายน 2566 พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติแผนการปรับโครงสร้างของบริษัทฯ โดยการจัดตั้ง บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ขึ้นมาเพื่อประกอบธุรกิจเป็นบริษัทลงทุน (Holding Company) ซึ่งบริษัทโฮลดิ้งส์จะสามารถลงทุนผ่านการถือหุ้นในธุรกิจอื่นๆ ที่นอกเหนือจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยได้ โดยไม่ติดข้อจำกัดการลงทุนและข้อจำกัดของธุรกิจประกันภัยแบบดั้งเดิม ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความคล่องตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ เพื่อขยายธุรกิจไปยังธุรกิจการเงินอื่นๆ ทั้งในและนอกธุรกิจประกันภัย พร้อมเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว โดยบริษัทฯ เห็นถึงโอกาสและศักยภาพในการเติบโตที่จะสามารถขยายธุรกิจและต่อยอดการสร้างรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยการดำเนินกิจการตามทิศทางเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสมต่อสถานการณ์อุตสาหกรรมตลาดในปัจจุบัน จากการลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่จะก่อให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต

Go To Lead


ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา
นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทิพยประกันภัย มีแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนโดยมุ่งเน้นในเรื่อง ESG ที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ 3 ด้านหลักคือสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ดังนั้น การลงพื้นที่เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนรอยความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทย สามารถที่จะนำความรู้และประสบการณ์จากการศึกษาประวัติศาสตร์มาปรับใช้ อีกทั้งการทำกิจกรรมปล่อยปลาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม และเป็นความเชื่อของชาวพุทธในเรื่องของการทำบุญไถ่ชีวิตเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา การทำบุญถวายเทียนพรรษา ก็เป็นการดำรงรักษาประเพณีที่ดีงามของศาสนาพุทธ
นับว่าโครงการนี้ สามารถบูรณาการสร้างจิตสำนึกของความเป็นไทยให้ดำรงไว้ซึ่งความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตรย์ ให้เกิดขึ้นได้อย่างครบถ้วน ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับแนวนโยบายการพัฒนาองค์กรของบริษัท

Go To Lead


อพท. ร่วมโปรโมต “เกาะหมาก” เที่ยวตลอดปี
นาวาอากาศเอก อธิคุณ คงมี ผู้อำนวยการ อพท. เปิดเผยว่า อพท. ได้ดำเนินการประสานการทำงานร่วมกับภาคี พัฒนาเกาะหมากให้มีความพร้อมและมีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว โดยเกาะหมาก นับเป็นเกาะแห่งแรกของประเทศไทย ที่มีระบบการจัดการขยะที่เกิดจากการท่องเที่ยวในระดับมาตรฐานสากล การที่ อบต. เกาะหมาก ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในเกาะหมากแห่งนี้ ถือเป็นการส่งเสริมแบรนด์การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Low Carbon Tourism) ซึ่ง อพท. ได้ผลักดันจนได้รับรางวัล แหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน 100 แห่งของโลก ประจำปี 2565 และรางวัลที่ 2 “2023 GREEN DESTINATIONS STORY AWARDS” ด้านการจัดการและการฟื้นฟู (Governance, Reset and Recovery)
การแข่งขันกิจกรรม Sexy Rally Run Koh Mak ครั้งที่ 2 ประจำปี 2023 ระยะทาง 5 ก.ม. และ 10 ก.ม. ณ ท่าเรืออ่าวนิด เกาะหมาก จังหวัดตราด เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินท่องเที่ยวเกาะหมากในช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยว หรือโลว์ซีซั่น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่เกาะหมาก อีกทั้งตอกย้ำให้นักท่องเที่ยวเกิดการรับรู้ว่า เกาะหมาก จังหวัดตราด สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดปี โดยกิจกรรมครั้งนี้ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ร่วมลงทะเบียนวิ่งรวมเกือบ 300 คน และมีกิจกรรมแรลลี่ให้นักวิ่งได้ร่วมสนุกตลอดเส้นทาง

Go To Lead

  --  
iClickNews.com