Go to www.iclicknews.com
World-ASEAN News

กรุงศรี 'ชี้'ตลาดลงทุนทั่วโลกคงผันผวน ธ.ก.ส. พักชำระหนี้ลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล ระยะที่ 2 เปิดแจ้งความประสงค์ 1 ต.ค. นี้
KBTG - AI Singapore-Google Research ร่วมสร้างชุดข้อมูลภาษาLLMโครงการซีลด์ SME D Bank ห่วงใยเอสเอ็มอี พักหนี้เงินต้น-ดอกเบี้ย 12 เดือน
เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ รุก ประกันครึ่งปีหลัง OCEAN LIFE ไทยสมุทร เพิ่มบริการพิเศษเหนือระดับ ดูแลลูกค้าคนสำคัญที่ถือบัตร
เอไอเอ ประเทศไทย สานต่อโครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ปีที่ 3 กรุงไทย–แอกซ่า ประกันชีวิต เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมต่อเนื่อง
คปภ. ลงพื้นที่ต่อเนื่อง “คืนรอยยิ้ม” ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ กรุงเทพประกันภัย คว้ารางวัลสุดยอดสินค้าและบริการแห่งปี ด้านประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ติดต่อกัน 5 ปีซ้อน
วิริยะประกันภัย 'หนุน'ทุนการศึกษา เด็กและเยาวชนภาคใต้
ตามโครงการ “สุขที่ให้...เพื่อน้องได้เรียน” ปีที่ 5
โรงแรม 58 แห่ง ในไทยคว้ารางวัล ‘กุญแจมิชลิน’

กรุงศรี 'ชี้'ตลาดลงทุนทั่วโลกคงผันผวน
นายวิรัตน์ วิทยศรีธาดา CFA ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์และที่ปรึกษาการลงทุน และหัวหน้าทีม Krungsri Investment Intelligence ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวนต่อเนื่อง น ได้สรุปปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงที่เหลือของปีนี้ 4 ประเด็นด้วยกันคือ
1. นโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก โดยในช่วง 2- 3 ปีที่ผ่านมา ทิศทางการดำเนินดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ มีการปรับขึ้นอย่างรวดเร็วจากระดับ 0.25% ไปสู่ 5.5% ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เห็นการหมุนเงินจากตลาดหุ้นเข้าสู่ตลาดเงิน ตราสารหนี้ ขณะที่ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง โดยคาดว่าในการประชุมเดือนกันยายนนี้ FED จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง และจะมีการปรับต่อเนื่องจาก 5% ในสิ้นปี 2567 ลดลงเหลือ 4% และ 3% ในช่วงปี 2568 – 2569 อ้างอิงจากการประชุมในช่วงเดือนมิถุนายน การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้นักลงทุนต้องออกแบบวิธีการลงทุนให้สอดคล้องกับการดำเนินนโยบายของ FED โดยสิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามเพิ่มเติม คือ การย้ายเงินออกจากตลาดเงิน หลังจาก FED ปรับลดดอกเบี้ย 2. ทิศทางเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ การดำเนินนโยบายการเงินของ FED ที่ขึ้นดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดแรงงานมีจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ โอกาสการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 30% แม้ว่ายังอยู่ในระดับต่ำ แต่เป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่องเช่นกัน สำหรับมุมมองของการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะยังคงเป็น Soft Landing ได้ และด้วยทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3/2567 ยังคงเติบโต ประกอบกับการที่ตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัวลงชัดเจน จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ FED ต้องมีการปรับลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ เงินเฟ้อชะลอตัวลงมาอย่างต่อเนื่องจากการคลี่คลายของห่วงโซ่อุปทาน ในขณะที่ภาคบริการที่คิดเป็นประมาณ 70 – 80% ของขนาดเศรษฐกิจ และการใช้จ่ายผ่านยอดค้าปลีกยังอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี ในส่วนของหนี้สินภาคครัวเรือน และ ความสามารถในการชำระหนี้ ยังคงไม่น่ากังวล แม้ว่าหนี้บัตรเครดิตจะดูมีความกังวลอยู่บ้าง แต่คิดเป็นเพียง 6.4% ของหนี้ภาคครัวเรือน อย่างไรก็ตาม ยังคงเน้นย้ำเรื่องของการติดตามตัวเลขเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
3. ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แม้ว่าผลการเลือกตั้งยังไม่ชัดเจน แต่หากโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง คาดว่าอาจก่อให้เกิดประเด็นเรื่องการตั้งกำแพงภาษี คล้ายกับสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ขณะที่นโยบายของกมลา แฮร์รีส พยายามจะปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% ซึ่งไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไรเชื่อว่าต่างมีนัยยะหรือผลกระทบที่แตกต่างทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ทั้งนี้ จากสถิติในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา ตลาดหุ้นมักมีความผันผวน แต่หลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งตลาดหุ้น S&P500 มักจะปรับตัวขึ้น หรือเกิด Election Rally
4. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ เศรษฐกิจจีนยังไม่สามารถที่จะฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน ทำให้เริ่มมีการปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจจีนลงสู่ระดับ 4.8% นอกจากนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่คิดเป็น 20% ของ GDP จีน ยังไม่เห็นการฟื้นตัว การลงทุนในจีนยังคงต้องรอการฟื้นตัวของราคาบ้าน และการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศผ่านการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ ซึ่งมองว่าตลาด Emerging Markets (ไม่รวมจีน) มีความน่าสนใจมากกว่า โดยมีการเติบโตอยู่ในระดับสูง Valuation ไม่แพง และได้ประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า และการลดดอกเบี้ยของ FED นอกจากนี้ การลงทุนในเวียดนามยังคงน่าสนใจด้วยเช่นกัน

Go To Lead


ธ.ก.ส. พักชำระหนี้ลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล
ระยะที่ 2 เปิดแจ้งความประสงค์ 1 ต.ค. นี้
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินมาตรการพักชำระหนี้ลูกหนี้รายย่อย ในระยะที่ 2 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 เพื่อลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่ยังไม่ฟื้นตัวและบรรเทาภาระด้านหนี้สินให้แก่ลูกหนี้ โดยผลการดำเนินงานมาตรการฯ ในระยะที่ 1 มีผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ทั้งสิ้น 1.41 ล้านราย ต้นเงินคงเป็นหนี้ 210,191 ล้านบาท ซึ่ง ธ.ก.ส. เปิดรับแจ้งความประสงค์ในการเข้าร่วมมาตรการฯ ระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 – 31 มกราคม 2568 เพียงนำบัตรประชาชนมาใช้ในการยืนยันตัวตน ได้ที่ ธ.ก.ส.สาขาที่ใช้บริการ เพื่อให้พนักงานตรวจสอบคุณสมบัติ รวมถึงสอบทานข้อมูลและประเมินศักยภาพการชำระหนี้ สำหรับลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข จะได้รับการพักชำระหนี้ในระยะที่ 2 ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 - 30 กันยายน 2568 โดยอัตโนมัติ
ทั้งนี้ รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งในการประกอบอาชีพ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอและสามารถชำระหนี้ได้ โดยมอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการเสริมความรู้ฟื้นฟูทักษะในการประกอบอาชีพให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย ภายใต้แนวทาง “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนการผลิตเป็นแบบทำน้อยได้มาก ทำผลผลิตให้มีคุณภาพสูงให้สามารถจำหน่ายได้ในตลาดที่มีมูลค่าสูง ยกระดับการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การสร้างอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ ด้วยการปลูกพืชระยะสั้น พืชหลังนา สัตว์โตไวที่มีมูลค่าสูง การพัฒนาอาชีพเดิม โดยการเพิ่มผลผลิต ลดความสูญเสีย ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มมาตรฐาน ซึ่งผลการดำเนินงานในระยะที่ 1 มีลูกค้าที่ผ่านการอบรมแล้ว จำนวน 290,648 ราย จากเป้าหมาย 300,000 ราย คิดเป็นร้อยละ 96.88 โดย ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนเงินทุนอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสมในการฟื้นฟูการประกอบอาชีพ วงเงินสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ไปแล้ว จำนวน 10,754 ราย เพื่อเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรสามารถนำเงินทุนไปใช้ลงทุนปรับเปลี่ยนการผลิต หรือขยายการประกอบอาชีพ และฟื้นฟูศักยภาพตนเอง เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการนำความรู้ที่ได้จากการอบรมมาสร้างรายได้ เพื่อให้ลูกหนี้มีศักยภาพ และความสามารถในการชำระหนี้หลังสิ้นสุดมาตรการ อันนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้และช่วยให้เกษตรกรสามารถหลุดพ้นกับดักหนี้ได้อย่างยั่งยืน

Go To Lead


KBTG - AI Singapore-Google Research
ร่วมสร้างชุดข้อมูลภาษาLLMโครงการซีลด์
ดร. ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล Managing Director กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เปิดเผยว่า โครงการซีลด์  (Southeast Asian Languages in One Network Data: SEALD) ถูกริเริ่มโดย AI Singapore และ Google Research เมื่อเดือนมีนาคม 2024 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกฝน พัฒนา และประเมินโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) สำหรับภาษาที่ใช้ในอาเซียน เช่น ภาษาไทย อินโดนีเซีย ทมิฬ ฟิลิปปินส์ และพม่า ด้วยการจับมือกับพันธมิตรในประเทศต่างๆ ที่เชี่ยวชาญด้าน LLM โครงการนี้จะช่วยขยายขีดความสามารถของ LLM และความเข้าใจบริบททางวัฒนธรรม ไปจนถึงส่งเสริมให้มีการประยุกต์ใช้ LLM ตลอดทั้งภูมิภาคเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม ด้วยจุดประสงค์ของโครงการ SEALD ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Human First x AI First ของ KBTG ในการมุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI โดยยังคงมนุษย์ไว้ซึ่งศูนย์กลาง KBTG จึงได้มีการจับมือกับ AI Singapore และ Google Research เพื่อเข้าร่วมโครงการ SEALD ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการ LLM ที่ใหญ่ที่สุดในระดับภูมิภาค โดยเชื่อว่าความรู้ความเชี่ยวชาญของบุคลากรในองค์กร ประกอบกับทรัพยากรที่สร้างขึ้นจาก ThaLLE by KBTG โมเดล LLM อัจฉริยะด้านการเงิน จะช่วยส่งเสริมโครงการให้พัฒนาและเติบโตยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสให้ KBTG ได้เรียนรู้และทำงานอย่างใกล้ชิดกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำด้าน AI ระดับโลก รวมถึงเป็นแนวหน้าในการขับเคลื่อนการเติบโตของ LLM ในภูมิภาค
เป้าหมายของโครงการในปีนี้ KBTG จะเน้นการร่วมสร้างชุดข้อมูลในภาษาไทยคุณภาพสูง ซึ่งขณะนี้ยังมีปริมาณไม่เพียงพอ (Underrepresented) และในอนาคตจะมีการส่งนักวิจัยจากแล็บไปร่วมพัฒนาและประเมินโมเดลในโครงการต่อไป โดยหวังว่าจะนำความรู้ที่ได้จากความร่วมมือนี้มาใช้ประโยชน์และพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินให้กับธนาคารกสิกรไทย และองค์กรธุรกิจต่าง ๆ ที่ KBTG ให้บริการทั่วทั้งภูมิภาค อีกทั้งช่วยให้ชุมชน LLM มีโมเดลที่ไม่เพียงแค่เข้าใจภาษาและบริบททางวัฒนธรรมของไทย แต่ยังรวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย นำไปสู่การสร้างชุดข้อมูลที่มีความหลากหลายและคุณภาพสูง เพื่อนำไปเทรนโมเดลต่าง ๆ ในเครือข่าย SEA-LION (Southeast Asian Languages in One Network) ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงชุดข้อมูลและโมเดลต่างๆ ของโครงการนี้ได้โดยทั่วกันผ่าน Open Source ร่วมขับเคลื่อนระบบนิเวศ LLM ในภูมิภาคให้พัฒนาไปอีกขั้น มิภาค

Go To Lead


SME D Bank
ห่วงใยเอสเอ็มอี พักหนี้เงินต้น-ดอกเบี้ย 12 เดือน
นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภัยพิบัติและสาธารณภัยที่ขยายวงกว้างครอบคลุมในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ หลายจังหวัดทางภาคเหนือ และที่กำลังจะได้รับผลกระทบในอนาคต ธนาคารห่วงใยลูกค้าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างยิ่ง จึงดำเนินการช่วยเหลือในทุกมิติมาอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้การช่วยเหลือในภาวะเร่งด่วนเป็นไปอย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์ มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมทุกพื้นที่ สอดคล้องกับแนวทางธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้กลับมาเดินหน้าธุรกิจได้ในเร็ววัน จึงออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม ได้แก่ “พักชำระหนี้ เงินต้นและดอกเบี้ย” และ “เติมทุนฉุกเฉินฟื้นฟูกิจการ”
มาตรการ “พักชำระหนี้ เงินต้นและดอกเบี้ย” สำหรับลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อม ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติตามที่ธนาคารกำหนด เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ด้วยการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย สำหรับกลุ่มเงินกู้ยืมแบบมีระยะเวลา (Term loan) สูงสุดไม่เกิน 12 เดือน สัญญาเบิกเงินทุนหมุนเวียนประเภทตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และสินเชื่อแฟคตอริ่ง ขยายระยะเวลาชำระตั๋วสัญญาใช้เงินออกไปอีกสูงสุด 180 วัน และสามารถพักชำระดอกเบี้ยได้ มาตรการ “เติมทุนฉุกเฉินฟื้นฟูกิจการ” สำหรับลูกค้าธนาคารได้รับผลกระทบทางตรง ที่มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ภัยพิบัติตามที่ธนาคารกำหนด เพื่อให้มีวงเงินกู้ฉุกเฉิน นำไปฟื้นฟูธุรกิจเฉพาะหน้า วงเงินกู้ 10% ของวงเงินเดิม ขั้นต่ำ 30,000 บาท สูงสุด 200,000 บาท (บุคคลธรรมดา สูงสุด 100,000 บาท และนิติบุคคล สูงสุด 200,000 บาท) อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี ระยะเวลากู้ 3 ปี ปลอดชำระเงินต้น 12 เดือน ไม่ต้องมีหลักประกัน ยกเว้นค่าธรรมเนียม ลดกระบวนการนำส่งเอกสารในการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรงเป็นการเร่งด่วน นายพิชิต กล่าวเสริมว่า มาตรการช่วยเหลือครั้งนี้เป็นทางเลือกโดยสมัครใจ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ลดภาระค่าใช้จ่าย และมีเงินทุนไปใช้จ่ายอย่างเร่งด่วน สามารถกลับมาเดินหน้าธุรกิจได้ในเร็วนี้ ทั้งนี้ ธนาคารพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติและสาธารณภัยทั่วประเทศ สามารถแจ้งความประสงค์ได้ผ่านสาขาของ SME D Bank ทุกแห่ง หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

Go To Lead


เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์
รุก ประกันครึ่งปีหลัง
นางสาวช่อฟ้า ยุกตะนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดและบริหารลูกค้า เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2563 ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา ถือเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของหลายอุตสาหกรรม Digital Platform ถูกดึงมาใช้ในมิติต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสาร การทำงาน รวมถึงการซื้อสินค้าหรือบริการ ซึ่ง เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ด้านประกันที่มองเห็นความสำคัญของดิจิทัลแพลตฟอร์มและนำแนวทางดังกล่าวมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบงานบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ตามแนวคิดหลักขององค์กร ‘Lifetime Partner 24: Driving Growth’ เพื่อนผู้เคียงข้างลูกค้าในทุกช่วงเวลาของชีวิต ทั้งระบบการจัดการคิวอัจฉริยะช่วยลดเวลารอสายของลูกค้า ระบบตอบรับอัตโนมัติทางโทรศัพท์ ระบบแชทบอทช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมด้วยตัวเองได้อย่างปลอดภัย รวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชัน GEN 365 ให้เป็น Digital Hub ทั้งด้านบริการและการขายกับลูกค้า ให้ครบทุกมิติของการบริการด้านประกันภัยเพื่อลูกค้าคนสำคัญ
ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ได้เตรียมกลยุทธ์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในส่วนของดิจิทัลแพลตฟอร์ม โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือการสร้างความประทับใจให้ลูกค้ากลุ่มเดิมที่ใช้บริการอยู่ และการมุ่งขยายฐานไปสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ ด้วย Digital Direct to Consumer (D2C) การเพิ่มช่องทางการสื่อสารออนไลน์ไปสู่ลูกค้าโดยตรง พร้อมทั้งนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง (Digital Sales) ภายในปี 2025 นอกจากนั้น เราได้ทำการยกระดับ Digital Self-service ผ่านแอปพลิเคชัน GEN 365 ให้การบริการลูกค้าได้ประสบการณ์ที่เหนือกว่าเป็นอันดับแรก ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2024 ”

Go To Lead


OCEAN LIFE ไทยสมุทร
เพิ่มบริการพิเศษเหนือระดับ ดูแลลูกค้าคนสำคัญที่ถือบัตร
บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต รักคือพลังของชีวิต โดยคุณนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ เผยว่า ในวาระ 75 ปีของ OCEAN LIFE ไทยสมุทร เรามุ่งใช้ศักยภาพด้านการประกันชีวิตช่วยให้ลูกค้าทุกคนก้าวสู่โลกยุคใหม่ด้วยความมั่นใจ โดยเฉพาะเรื่องความสะดวก สบาย เมื่อต้องเข้ารับบริการ ณ โรงพยาบาล ขณะเจ็บป่วย หากได้รับการอำนวยความสะดวกที่รวดเร็ว ครบครัน ก็จะทำให้ลูกค้าคลายความกังวลและเข้ารับการรักษาได้อย่างมั่นใจ ด้วยเหตุนี้ OCEAN LIFE ไทยสมุทรจึงได้ผสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลเครือข่าย มอบเอกสิทธิ์เหนือระดับแก่ลูกค้าด้วย “OCEAN LIFE CARE CARD PREMIUM” ได้รับสิทธิพิเศษในการอัพเกรดห้องพัก บริการที่จอดรถพิเศษ ห้องรับรองพิเศษ ของขวัญเยี่ยมไข้ และบริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ เพียงแค่แสดงบัตร OCEAN LIFE CARE CARD PREMIUM ให้กับโรงพยาบาลเครือข่าย ดูรายชื่อโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการและรายละเอียดสิทธิพิเศษของแต่ละโรงพยาบาลได้ที่ https://oceanlifeth.co/HospitalExcellence
OCEAN LIFE CARE CARD PREMIUM สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่มีความคุ้มครองสุขภาพ ได้แก่ โอเชี่ยนไลฟ์ ซูพรีม เฮลท์ ทุกแผน โอเชี่ยนไลฟ์ เอ็นจอย เฮลท์ เอ็กซ์ตร้า แผน 5 ล้านบาท และโอเชี่ยนไลฟ์ เอ็นจอย เฮลท์ แผน 5 ล้านบาท โดยลูกค้าที่มีแผนคุ้มครองสุขภาพดังกล่าว สามารถดาวน์โหลด OCEAN CARE CARD PREMIUM ได้ง่ายๆ ผ่านบริการ LINE OCEAN CONNECT ที่ https://oceanlifeth.co/HT-award โดย เลือกเมนู “บริการลูกค้า” เลือกเมนู “ดาวน์โหลด” และ เลือกเมนู “บัตรประกันสุขภาพ” เพียงเท่านี้เมื่อเข้าใช้บริการและแสดงบัตรก็ได้รับสิทธิพิเศษเหนือใคร OCEAN LIFE ไทยสมุทร ใช้ความรักเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กรมายาวนานตลอด 75 ปี โดยไม่หยุดพัฒนาในทุกมิติ เพื่อทำให้ประกันชีวิตเป็นเรื่องง่าย ทำให้คนไทยเข้าถึงประโยชน์ของการประกันชีวิตได้มากที่สุด พร้อมแล้วที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลโลกและสังคม เพื่อส่งมอบอนาคตที่ยั่งยืนให้กับคนรุ่นต่อไปได้ ใช้ชีวิตอย่างมั่นคง มั่นใจ ปลอดภัย และมีความสุข ร่วมติดตามข่าวสารและกิจกรรมดี ๆ จาก OCEAN LIFE ไทยสมุทร ได้ที่ OCEAN CLUB APP / LINE / Facebook / Instagram / Youtube : oceanlife เว็บไซต์ www.ocean.co.th หรือติดต่อ OCEAN LIFE CONTACT CENTER 1503

Go To Lead


เอไอเอ ประเทศไทย สานต่อโครงการ
“สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ปีที่ 3
เอไอเอ ประเทศไทย สานต่อโครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ซึ่งจัดขึ้นติดต่อเป็นปีที่ 3 โดยได้รับความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดรับสมัครโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการเพื่อชิงรางวัลรวมกว่า 2 ล้านบาท และได้เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติ เพื่อชิงรางวัลอีกกว่า 1.5 ล้านบาท รวมมูลค่ารางวัลถึง 3.5 ล้านบาท ตอกย้ำถึงพันธกิจสำคัญของเอไอเอ ที่มุ่งสนับสนุนเยาวชนและผู้คนในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก กว่าหนึ่งพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’
โครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” เป็นโครงการที่กลุ่มบริษัทเอไอเอ และเอไอเอ ประเทศไทย ริเริ่มขึ้นเพื่อมุ่งเสริมสร้างและปลูกฝังพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพของนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 5 - 16 ปี โดยมุ่งเน้นใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การทำกิจกรรมที่แอคทีฟ การมีสุขภาพใจที่ดี และการพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความยั่งยืน โดยเมื่อปีที่ผ่านมา ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากโรงเรียนทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 600 โรงเรียน และส่งผลงานเข้าประกวดถึง 91 โรงเรียน ซึ่งโรงเรียนที่ชนะระดับประถมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนเทศบาล 2 วัดดอนมูลชัย จังหวัดตาก และโรงเรียนที่ชนะระดับมัธยมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนเทศบาล 1 กิตติขจร จังหวัดตาก สำหรับโรงเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษาที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ปีที่ 3 ได้แล้วที่เว็บไซต์ ahs.aia.com/th/th/ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 8 มีนาคม 2567

Go To Lead


กรุงไทย–แอกซ่า ประกันชีวิต
เดินหน้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมต่อเนื่อง
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย นางสาวบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์และภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (คนที่ 3 จากขวา) และนายชัยณรงค์ เอื้อสิทธิชัย ประธานเจ้าที่บริหาร ฝ่ายจัดจำหน่าย (คนที่ 2 จากขวา) ร่วมส่งมอบเงินบริจาคสมทบทุนจากพนักงานและบริษัทฯ รวมทั้งสิ้นจำนวน 200,000 บาท และถุงยังชีพ จำนวน 250 ชุด ให้แก่สภากาชาดไทย ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการ สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย (คนที่ 4 จากซ้าย) เป็นผู้รับมอบ โดยถุงยังชีพดังกล่าวประกอบด้วย สิ่งของจำเป็นในการดำรงชีพ อาทิ อาหารแห้ง ยารักษาโรค น้ำดื่ม รวมถึงผ้าอนามัย ชุดชั้นใน นมผงสำหรับเด็กแรกเกิด นอกจากนั้นเงินบริจาคข้างต้นเป็นการรวมน้ำใจจากผู้บริหาร และพนักงาน ซึ่งบริษัทฯ ได้ร่วมสมทบ 100% เพื่อเดินหน้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยใหญ่ทั้งในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
บริษัทฯ ขอร่วมเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัยผ่านพ้นวิกฤตินี้ได้โดยเร็ว ทั้งนี้บริษัทฯ พร้อมอยู่เคียงข้างความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามกิจกรรมเพื่อสังคมดีๆ จาก กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/Hearts.in.action.volunteers หรือ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

Go To Lead


คปภ. ลงพื้นที่ต่อเนื่อง
“คืนรอยยิ้ม” ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ได้บูรณาการความร่วมมือกับภาคธุรกิจประกันภัย ลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยได้รับการสนับสนุนสิ่งของบรรเทาทุกข์จาก นายวรวิทย์ เจนธนากุล นักศึกษา วปส. รุ่นที่ 5 เพื่อส่งมอบให้แก่ผู้ประสบภัยอุทกภัย ณ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 15 เชียงราย โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นผู้แทนรับมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์
สำนักงาน คปภ. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติในครั้งนี้ โดยได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัด บูรณาการความร่วมมือกับภาคธุรกิจประกันภัยอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้ได้รับการช่วยเหลือด้านประกันภัยอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยสั่งการให้สำนักงาน คปภ. ภาค 1 (เชียงใหม่) สำนักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) ร่วมกับสำนักงาน คปภ. จังหวัดในสังกัด เร่งประสานบริษัทประกันภัยในพื้นที่อย่างใกล้ชิดเพื่อให้บริการประชาชนและผู้เอาประกันภัยอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในด้านการสำรวจความเสียหายทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยเพื่อเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว สำหรับรถยนต์ที่ทำประกันภัยภาคสมัครใจ และการประกันภัยทรัพย์สินอื่น ๆ ของประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติในครั้งนี้ ทางสำนักงาน คปภ. จังหวัดในพื้นที่ประสบอุทกภัยได้ประสานและติดตามกับภาคธุรกิจประกันภัยเพื่อหาแนวทางในการบรรเทาความเดือนร้อนของผู้เอาประกันภัย โดยประสานอู่ซ่อมรถมาตรฐานในพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเนื่องจากมีรถจัดซ่อมจำนวนมาก รวมถึงอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เอาประกันภัยให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ในส่วนของรถจักรยายนยนต์ ทางสำนักงาน คปภ. จังหวัดเชียงราย ได้ร่วมกับบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด สาขาเชียงราย จัดหาอู่เพื่อจัดซ่อมรถจักรยานยนต์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยและประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยครั้งนี้

Go To Lead


วิริยะประกันภัย 'หนุน'ทุนการศึกษา เด็กและเยาวชนภาคใต้
ตามโครงการ “สุขที่ให้...เพื่อน้องได้เรียน” ปีที่ 5
นางเสาวคนธ์ วงศ์กองแสง ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการภาค 5 (ภาคใต้) ด้านสาขา บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนบริษัทฯ มอบทุนการศึกษา จำนวน 200 ทุน เป็นเงิน 200,000 บาท ภายใต้โครงการ “สุขที่ให้...เพื่อน้องได้เรียน” ปีที่ 5 เพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในพื้นที่ภาคใต้ โดยได้ดำเนินพิธีมอบทุนการศึกษา จำนวน 25 ทุน เป็นเงิน 25,000 บาท แก่ โรงเรียนในพื้นที่จังหวัดกระบี่ 9 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนอนุบาลคลองท่อม, โรงเรียนบ้านทรายขาว, โรงเรียนบ้านห้วยลึก, โรงเรียนบ้านพรุดินนา, โรงเรียนบ้านคลองไคร, โรงเรียนคลองท่อมมิตรภาพที่ 160, โรงเรียนบ้านบางคราม, โรงเรียนบ้านบ่อมะม่วง และโรงเรียนบ้านคลองแรด พร้อมนำ กลุ่มวิริยะจิตอาสา สังกัดศูนย์ / สาขากระบี่ มอบอุปกรณ์การเรียน และจัดเลี้ยงอาหารว่าง แก่ตัวแทนนักเรียน ทั้ง 9 โรงเรียน โดยมี นายกิจจา อยู่เย็น ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลคลองท่อม เป็นผู้แทนรับมอบ
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดพิธีมอบทุนการศึกษา ในพื้นที่ภาคใต้อีกหลายแห่ง ได้แก่ จังหวัดพังงา จำนวน 25 ทุน เป็นเงิน 25,000 บาท โรงเรียนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 50 ทุน เป็นเงิน 50,000 บาท โรงเรียนในจังหวัดตรัง จำนวน 60 ทุน เป็นเงิน 60,000 บาท และโรงเรียนในจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 40 ทุน เป็นเงิน 40,000 บาท
สำหรับ โครงการ “สุขที่ให้...เพื่อน้องได้เรียน” บริษัทฯ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ในการเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษา แก่นักเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษา ที่มีผลการเรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ทั่วประเทศ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง และเป็นการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนไทย ให้สามารถเติบโตไปเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศ ทั้งยังเป็นการส่งเสริมทีมงานฝ่ายปฏิบัติการภาค 1-6 และตัวแทนวิริยะประกันภัย ในการร่วมพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดยตลอดระยะเวลาของการดำเนินโครงการฯ ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มอบทุนการศึกษาแล้วทั้งสิ้น 8.2 ล้านบาท แก่นักเรียนกว่า 7,000 คน ทั่วประเทศ

Go To Lead


โรงแรม 58 แห่ง
ในไทยคว้ารางวัล ‘กุญแจมิชลิน’
นายเกว็นดัล ปูลเล็นเนค (Gwendal Poullennec) ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ทั่วโลก เปิดเผยว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นยินดีกับการประกาศรายชื่อโรงแรมที่พักที่ได้รับรางวัล ‘กุญแจมิชลิน’ ในประเทศไทย เป็นครั้งแรกนี้อย่างยิ่ง เพราะโรงแรมที่พักซึ่งผ่านการคัดสรรและจัดอันดับจำนวนไม่ต่ำกว่า 58 แห่งของไทยจะเป็นเสมือนการเชื้อเชิญนักเดินทางให้มาเยือนประเทศไทยเพื่อสัมผัสทัศนียภาพที่งดงาม การให้บริการที่อบอุ่น ตลอดจนประสบการณ์การเข้าพักที่น่าจดจำในราคาที่ดึงดูดใจ โรงแรมที่พักทุกแห่งซึ่งได้รับรางวัล ‘กุญแจมิชลิน’ ทั้ง 3 ระดับ ...ไม่ว่าจะเป็นที่พักเพื่อการพักผ่อนฟื้นฟูสุขภาพตามชายฝั่งทะเลหรือชายหาด ในป่าดงดิบเขียวชอุ่ม หรือกลางใจเมืองที่คึกคัก ...ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมระดับเรือธงในเมืองหรือโรงแรมที่พักสุดหรูระดับโลก ล้วนถือเป็นอัญมณีเม็ดงามที่เกิดจากความทุ่มเทของทีมงานมืออาชีพผู้มีทักษะอย่างแท้จริง และขณะนี้ช่องทางสื่อสารในระบบดิจิทัลของ ‘มิชลิน ไกด์’ พร้อมรองรับการค้นหาและสำรองโรงแรมที่พักซึ่งจะสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับนักเดินทางแล้ว”
รางวัล ‘1 กุญแจมิชลิน’, ‘2 กุญแจมิชลิน’ และ ‘3 กุญแจมิชลิน’ เช่นเดียวกับรางวัล ‘ดาวมิชลิน’ สำหรับประสบการณ์ด้านอาหารที่ดีที่สุด รางวัล ‘กุญแจมิชลิน’ ซึ่งมอบให้โรงแรมที่พักที่ผ่านการคัดสรรโดย ‘มิชลิน ไกด์’ ซึ่งให้ประสบการณ์การเข้าพักที่โดดเด่นที่สุด ถือเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับนักเดินทางผู้คำนึงถึงประสบการณ์การเข้าพักโดยรวม ซึ่งครอบคลุมมากกว่าสิ่งอำนวยความสะดวกที่โรงแรมที่พักแต่ละแห่งมีให้บริการ

Go To Lead

  --  
iClickNews.com